1. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
“โลนลี่ แพลนเน็ต” ระบุว่า ปัจจุบันเมืองสวยที่สุดในโลกอย่าง กรุงปารีส ได้ถูกแปลงโฉมใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น หลังทางการเดินหน้าลดความแออัดของรถยนต์ ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และรถจักรยาน ทั้งยังเปลี่ยนถนนเลียบแม่น้ำแซนฝั่งขวาระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ให้เป็นทางเดิน และเลนรถจักรยาน ส่วนถนนเลียบแม่น้ำฝั่งซ้าย นับตั้งแต่สะพานอัลม่าไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ออร์แซ (ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร) ถูกกำหนดให้เป็นเขตปลอดรถยนต์ พร้อมทั้งเปลี่ยนถนนให้กลายเป็นทางเดิน และพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นสวนลอยน้ำ สนามกีฬา มุมพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ยังเปิดแกลลอรี่ศิลปะอิสลามใหม่ ซึ่งอยู่ภายใต้หลังคารูปพรมวิเศษสีทอง แถมระฆังที่มหาวิหารนอตเตอร์ดัมยังกลับมาดังอีกครั้ง ด้วยท่วงทำนองเดิมๆ เหมือนที่เคยดังก่อนปี 1789 (พ.ศ. 2332) หลังได้รับการติดตั้งระฆังใหม่ 9 ลูก เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่สำคัญพิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ่ จะเปิดให้บริการใหม่อีกครั้ง ในปีหน้าหลังปิดปรับปรุงมานานหลายปี
2. เมืองตรินิแดด จังหวัดซังตีสปีรีตุส ประเทศคิวบา
เมืองเล็กๆ ที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งนี้ กำลังจะครบรอบ 500 ปี ของการก่อตั้งเมืองในปีหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีงานเฉลิมฉลอง และกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมให้เที่ยวชมภายใต้บรรยากาศแบบย้อนยุค เพราะแม้จะก่อตั้งมานานเกือบ 5 ศตวรรษ แต่วิถีชีวิตและสภาพบ้านเมืองของตรินิแดด ยังคงมนต์เสน่ห์ในแบบเดิมๆ ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ ส่วนอาคารเก่าแก่ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น และตกแต่งอย่างหรูหราด้วย เพดานสไตล์มูเดจาร์,กระเบื้องเคลือบจากประเทศฝรั่งเศส และพื้นหินอ่อนจากอิตาลี ล้วนเป็นผลมาจากความมั่งคั่งในยุคที่อุตสาหกรรมน้ำตาลกำลังเฟื่องฟู (สมัยศตวรรษที่ 19) ทั้งสิ้น
3. เมืองเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
ที่ผ่านมา เคปทาวน์ มักกวาดรางวัลด้านความสวยงามทางธรรมชาติ แต่ล่าสุด เมืองเคปทาวน์ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งการออกแบบของโลก ประจำปี 2014 เมืองนี้มีพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม แถมโครงการต่างๆ ยังถูกพัฒนาให้เป็นแบบยั่งยืน ที่น่าทึ่งก็คือ การฟื้นฟูย่านอุตสาหกรรมเก่าสุดเสื่อมโทรมอย่าง ‘วู้ดสต็อก’ ให้เป็นย่านธุรกิจสุดอินเทรนด์ และที่น่าจับตา ก็ตือ การพัฒนาย่านอีสต์ซิตี้ให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของ เมืองเคปทาวน์ ภายใต้ชื่อใหม่ ’เดอะ ฟรินจ์’ นอกจากนี้ เคปทาวน์ยังมีร้านค้า ร้านอาหารให้เลือกช้อป และชิมมากมาย แต่ถ้าอยากนั่งรถเที่ยวรอบเมือง ที่นี่ก็มีรถเมล์แดง 2 ชั้น สุดเก๋ไว้คอยบริการ โดยรถจะวิ่งวนรอบเมืองทุกๆ 15 นาที (มี 18 ป้ายรถเมล์) ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเลือกตั๋วได้ทั้งแบบ 1 วันหรือ 2 วัน
4. เมืองริกา ประเทศลัตเวีย
ริกา เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญ ย่านเมืองเก่าหรือศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองริกา ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ทั้งที่เป็นอาคารไม้สไตล์นีโอคลาสสิกและอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว นอกจากนี้ ริกายังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2014 อีกด้วย
5.เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนในฝันที่หลายคนอยากไปเยือน (หรืออยากกลับไปอีก) เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทัศนียภาพงดงามและอากาศดี ติดตรงที่ค่าใช้จ่ายสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เมืองซูริค… ในเดือนสิงหาคมปีหน้า ซูริคจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์ยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีนักกรีฑา ตลอดจนเหล่าบรรดากองเชียร์เดินทางมาเยือนเมืองนี้มากมาย และสถานที่สุดอินเทรนด์ที่นักท่องราตรีห้ามพลาด ก็คือย่านซูริค-เวสต์ ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมเก่า ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยคลับ บาร์ ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ หลังทางการปลดล็อคเวลาปิดของสถานบันเทิงในย่านนี้ ซูริคก็กลายเป็นอีกหนึ่งเมืองสวรรค์ของนักท่องราตรี และเป็นเมืองปาร์ตี้ของยุโรป
6. เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
“โลนลี่ แพลนเน็ต” กล่าวว่า หากเปรียบประเทศจีนเป็นมอเตอร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลก เซี่ยงไฮ้ ก็คือ เครื่องยนต์ V8 อันทรงพลังของจีน ทั้งนี้เพราะเซี่ยงไฮ้ซึ่งเคยมีโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูงเพียง 3 สายในปี 2000 กำลังจะเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายที่ 16 ระยะทาง 59 กิโลเมตรในปีหน้า (ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงใน เมืองเซี่ยงไฮ้ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเติบโตเร็วที่สุดในโลก ทั้งยังมีระยะทางยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก) นอกจากนี้ (ว่าที่) ตึกสูงที่สุดในประเทศจีน และสูงเป็นอันดับสองของโลก ’เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์’ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านหลูเจียซุย ด้วยความสูง 121 ชั้น ก็กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีหน้า และจะเป็นที่ตั้งของโรงแรมสูงที่สุดในโลกแห่งใหม่ ที่สำคัญ ทางการเซี่ยงไฮ้ยังเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติจาก 45 ประเทศ (ซึ่งไม่มีพี่ไทยอยู่ในโผ) เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองของตนได้นาน 72 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมีวีซ่า
7. เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
แวนคูเวอร์ เป็นเมืองท่าสำคัญ และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐบริติชโคลัมเบีย เห็นเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น และเต็มไปด้วยอาคารสูงอย่างนี้ แต่ที่นี่ก็รายล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงามไม่ว่าจะเป็น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ สวนสาธารณะอันเขียวชอุ่ม และหาดทรายมากมายหลายแห่ง จึงนับว่าเป็นสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง และกีฬาทางน้ำอย่างแท้จริง
8. เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
ชิคาโก เป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับเวิลด์คลาส แต่ที่ห้ามพลาด ก็คือ การเข้าไปเชียร์กีฬาเบสบอลที่สนามริกลีย์ ฟิลด์ ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีในปีหน้า และจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดฤดูกาลแข่งขัน ส่วนคนที่ไม่ใช่คอกีฬา ขอแนะนำให้ไปดูการแสดงตลกที่คลับ และโรงละคร “เดอะ เซคเคินด์ ซิตี้” ซึ่งจะครบรอบ 55 ปีในปีหน้าเช่นกัน
สำหรับ คนที่ชื่นชอบดนตรีขอแนะนำให้ไปเยือน ชิคาโก ในช่วงซัมเมอร์ เพราะในเดือนมิถุนายนของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลดนตรี “ชิคาโด บลูส์ เฟสติวัล” ให้คนรักเสียงเพลงดื่มด่ำกับเพลงโซล บลูส์ และแจ๊สแบบ 3 วันเต็มๆ แต่ถ้าชอบดนตรีแบบหนักๆ อย่างอัลเทอร์เนทีฟ ร็อค, เฮฟวี่ เมทัล, พังค์ร็อค, ฮิพฮอพ หรือเพลงมันส์ๆ ประเภทแดนซ์กระจายก็ต้องไปชมเทศกาลดนตรี ”ลัลลาปาลูซ่า” และ “พิทช์ฟอร์ค” ซึ่งจะจัดขึ้น 3 วันในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลดนตรีน้องใหม่อย่าง “เวฟฟร้อนซ์ มิวสิค เฟสติวัล” ที่จัดขึ้นริมชายหาดแบบ 3 วันเต็มในเดือนกรกฎาคม เพื่อเอาใจขาแดนซ์โดยเฉพาะ ตลอดจนเทศกาลดนตรี “ไรออท เฟส” ซึ่งเน้นดนตรีแนวพังค์ ร็อค อัลเทอร์เนทีฟ ฮาร์ดคอร์ ฯลฯ ให้สาวกเพลงร็อคเมามันส์กันอย่างสุดเหวี่ยงตลอด 3 วันเต็มในเดือนกันยายน
9. เมืองแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย
เชื่อว่าหลายคนอาจไม่คุ้นหูนักเมื่อได้ยินชื่อเมือง แอดิเลด เพราะเมื่อพูดถึงออสเตรเลียคนส่วนใหญ่ มักนึกถึงเมืองที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงมากกว่าอย่าง เมลเบิร์น และซิดนีย์ ทั้งๆ ที่เมืองนี้ได้รับยกย่องว่า เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในออสเตรเลีย ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน และยังเคยติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ประจำปี 2010 ตามโผของ ‘ดิ อีโคโนมิสต์’ อีกด้วย
แอดิเลด เป็นเมืองหลวง และเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ทั้งยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของออสเตรเลียอีกด้วย นอกจากนี้ แอดิเลดยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญๆ ทางด้านกีฬาและศิลปะ อาทิ แอดิเลด เฟสติวัล ซึ่งเป็นเทศกาลด้านศิลปะระดับโลก ที่รวบรวมศิลปะหลายแขนงมาจัดแสดงในงาน เดียว, แอดิเลด ฟรินจ์ เฟสติวัล ซึ่งเป็นเทศกาลศิลปะประจำปี ที่จัดขึ้นติดต่อกัน 24 วัน 24 คืน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ตลอดจนงาน WOMADelaide (World of Music, Arts & Dance) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7-10 มีนาคมในปีหน้า ที่สำคัญ สนามกีฬาขนาดใหญ่ ‘แอดิเลด โอวัล’ ที่ปิดปรับปรุงด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล จะได้ฤกษ์เปิดใช้บริการอีกครั้งในปีหน้า ในฐานะสนามประจำทีมฟุตบอลแอดิเลด และพอร์ต แอดิเลด
10. เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าไปยังเกาะใต้ เพื่อชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขา ทะเลสาบ ท่องเที่ยวแนวผจญภัย เล่นบันจี้จัมพ์ และประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งๆ ที่ โอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ และมีความเป็นสากลมากที่สุดของนิวซีแลนด์ ก็มีความโดดเด่นและน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหาร ศิลปะ และการออกกินลมชมวิวตามแนวชายฝั่ง ที่ผ่านมา โอ๊คแลนด์มีแหล่งรับประทานอาหารแห่งใหม่ๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่กำลังฮอตฮิตสุดอินเทรนด์ ก็คือ ศูนย์รวมร้านอาหารสุดฮิพอย่าง ‘ซิตี้ เวิร์คส ดีโป้’ ส่วนผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะไม่ควรพลาดการไปเยือน ‘โอ๊คแลนด์ อาร์ต แกลเลอรี่’ ซึ่งนอกจากภายในจะมีผลงานศิลปะมากมาย ให้ชื่นชมแล้ว ตัวอาคารก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกตกแต่ง ต่อเติม และแปลงโฉมใหม่ จนได้รับเลือกให้เป็น เวิลด์ บิลดิ้ง ออฟ เดอะ เยียร์’ ประจำปี 2013 ในหมวดอาคารด้านวัฒนธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น